........คำว่า "เทคโนโลยี”(Technology) มาจากรากศัพท์
"Technic" หรือ "Techno" ซึ่งมีความหมายว่า
วิธีการ หรือการจัดแจงอย่างเป็นระบบ รวมกับ "logy"
ซึ่งแปลว่า “ศาสตร์” หรือ “วิทยาการ” ดังนั้น คำว่า
"เทคโนโลยี" ตามรากศัพท์จึงหมายถึง ศาสตร์ว่าด้วยวิธีการหรือศาสตร์ที่ว่าด้วยการจัดการ
หรือการจัดแจงสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้เกิดระบบใหม่และเป็นระบบที่สามารถนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ที่ตั้งใจไว้ได้
ซึ่งก็มีความหมายตรงกับความหมายที่ปรากฏในพจนานุกรม คือ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ดังนั้น
เทคโนโลยีการศึกษาจึงเป็นการจัดแจงหรือการประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์กายภาพมาใช้ในกระบวนการของการศึกษา
ซึ่งเป็นพฤติกรรมศาสตร์ โครงสร้างมโนมติของเทคโนโลยีการศึกษาจึงต้องประกอบด้วย
มโนมติทางวิทยาศาสตร์กายภาพ มโนมติทางพฤติกรรมศาสตร์ โดยการประสมประสานของมโนมติอื่นที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างเช่น
การประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์กายภาพทางวิศวกรรมและทางเคมีได้เครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์
สามารถผลิตหนังสือตำราต่างๆ ได้ และจากการประยุกต์หลักพฤติกรรมศาสตร์ทางจิตวิทยา
จิตวิทยาการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้และหลักความแตกต่างระหว่างบุคคล
ทำให้ได้เนื้อหาในลักษณะเป็นโปรแกรมขั้น ย่อย ๆ จากง่ายไปหายาก
เมื่อรวมกันระหว่างวิทยาศาสตร์กายภาพและพฤติกรรมศาสตร์ในตัวอย่างนี้
ทำให้เกิดผลิตผลทางเทคโนโลยีการศึกษาขึ้น คือ "ตำราเรียนแบบโปรแกรม"
รายวิชา PC54504
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
บทที่ 4 เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวัน
<<< We ArE .. .*MVP* >>>
การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
ใน ยุคนี้คงจะไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าเทคโนโลยีไม่มีความจำเป็นสำหรับการ ดำเนินชีวิตของมนุษย์ เพราะทุกคนล้วนใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การตื่นนอนจนถึงการเข้านอน ดังนั้นเทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ชีวิตประจำวันมีแต่ความเร่งรีบ ต้องแข่งขันกับเวลา การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานแล้วยังช่วยย่น ระยะเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้สั้นลง
แต่
อย่างไรก็ตาม การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวันก็เปรียบเสมือนดาบสองคม
เพราะในบางครั้งก็นำโทษมาให้แก่มนุษย์ด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างที่สามารถเห็นได้ชัดเจนก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่เป็นข่าวตามหน้า
หนังสือพิมพ์ในเรื่องของการถูกลวงไปข่มขืน โดยสาเหตุหลัก ๆ
ของการถูกล่อลวงไปข่มขืน
ก็เป็นผลมาจากการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากการพูดคุยกัน
ผ่านทางโปรแกรมการสนทนาออนไลน์(Chat)
ที่เมื่อมีการพูดคุยกันก็มีการนัดมาเจอกันและเกิดเหตุการณ์การล่อลวงไปข่ม
ขืน เพราะการพูดคุยผ่านการChat นี้เป็นการพูดคุยที่อิสรเสรี
ผู้พูดสามารถที่จะพูดคุยอะไรออกไปก็ได้ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
และนอกจากนี้ก็ยังมีการนำเสนอเวปไซด์ที่เป็นเวปไซด์โป๊
หรือมีการนำเสนอสิ่งที่อนาจารลงในเวปไซด์
และทำให้เป็นการยั่วยุทางอารมณ์ของผู้เล่นจนนำมาสู่การกระทำอันผิดศีลธรรม
และเกิดคดีความได้ และจากการที่สื่ออินเตอร์เน็ตเป็นสื่อเสรีไม่มีองค์กรใด ๆ
เข้ามาควบคุมดูและจึงทำให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อ
สารกันระหว่างกลุ่มคนที่ไม่หวังดี เช่น กลุ่มก่อการร้าย หรือ
กลุ่มคนที่ต้องการก่ออาชญากรรม
โดยกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะใช้อินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสาร
ระหว่างกัน โดยอาจมีเวปไซด์เป็นกลุ่มของตนเอง หรือใช้การส่ง E-mail เป็นทอด
ๆ ระหว่างกันและมีการแปลรหัสจากการส่ง E-mail
โดยไม่มีใครสามารถที่จะล่วงรู้ได้
และในบางครั้งก็มีคนที่มีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเป็น
อย่างดี คนเหล่านี้ก็นำความเก่งกาจของตนเองมาใช้ในทางที่ผิด เช่น
การลักลอบขโมยข้อมูลในองค์กรต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ก่ออาชญากรรม เช่น
ลักลอบค้นข้อมูลของบริษัทบัตรเครดิต หรือ ธนาคาร
หรือข้อมูลบัชญีเงินฝากและATM เพื่อลักลอบนำเงินไปใช้
นอกจากนี้บางครั้งก็มีการใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อปล่อยหรือสร้างข่าวที่มีความ
บิดเบือน เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดและสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน เช่น
ในบางครั้งกลุ่มก่อการร้าย
ก็อาจใช้สื่ออินเตอร์เน็ตเพื่อสร้างข่าวบิดเบือน
เพื่อจูงใจประชาชนให้มาเข้าร่วมในขบวนการและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการก่อการ
ร้าย
นอก จากนี้จากการที่มนุษย์เราพึ่งพาเทคโนโลยีมากจนเกินไป ก็ทำให้เกิดผลเสียแก่ตัวเราได้ด้วยเช่นกัน เพราะการพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปจะทำให้คนเราเกิดความเคยชินจากการนำ เทคโนโลยีมาใช้อำนวยความสะดวกในชีวิต จนทำให้บางครั้งเราก็ทำอะไรไม่เป็นไม่สามารถคิดอะไรได้เพราะมีเทคโนโลยีมา ช่วย และอาจส่งผลให้ในอนาคตมนุษย์จะมีความสามารถลดน้อยลง และเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรต่าง ๆ ก็จะมีความสำคัญมากกว่ามนุษย์
จาก ที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีมีทั้งประโยชน์และโทษ ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีที่ถูกวิธีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และต้องไม่ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดที่จะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทั้งตน เองและผู้อื่น และในขณะเดียวกันมนุษย์เราก็จะต้องหันกลับมาพึ่งพาตัวเองบ้าง และใช้เทคโนโลยีเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และในบางครั้งผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองก็ต้องเข้ามาดูแลเด็ก และให้คำแนะนำแก่เด็กด้วยเพื่อไม่ให้เด็กเหล่านี้เข้าไปเสพย์สื่อที่ผิด เบือนและผิดศีลธรรม
บทที่ 3 เทคโนโรยีสำหรับชีววิทยา
การตรวจสอบน้ำด้วยสิ่งมีชีวิต “เทคโนโลยีชีวภาพ” เพื่อสิ่งแวดล้อม
เทคโนโลยีชีวภาพ (อังกฤษ:
Biotechnology) คือ
เทคโนโลยีที่นำความรู้ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ประยุกต์ใช้สิ่งมีชีวิต
หรือชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิต หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น
เอนไซม์ หรือโปรตีนชนิดต่างๆ เป็นต้น เพื่อให้เกิดประโยชน์กับมนุษยชาติ
ไม่ว่าจะเป็นการผลิตหรือกระบวนการ ของสินค้าหรือบริการ
เพื่อใช้ประโยชน์เฉพาะอย่างตามที่เราต้องการ
โดยสามารถใช้ประโยชน์ทางด้านต่างๆ เช่น ด้านการเกษตร ด้านอาหาร
ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านทางการแพทย์ เป็นต้น
ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพอาจก่อให้เกิด
กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ
ส่งผลให้เกิดกระบวนการสร้าง กระบวนการทำลาย
หรือการก่อให้เกิดสิ่งใหม่ที่ดำเนินอยู่ในสิ่งมีชีวิต ซึ่งกระบวนการ
ทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
เป็นผลมาจากการทำงานของสารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ และหน่วยพันธุกรรมหรือยีน
การศึกษางานด้านเทคโนโลยีชีวภาพจึงต้องอาศัยความรู้พื้นฐาน
เกี่ยวกับสารพันธุกรรม และพฤติกรรมของสารพันธุกรรม
รวมทั้งวิธีการสำคัญต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการด้านเทคโนโลยี
ชีวภาพเพื่อการ นำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันประเทศในแถบยุโรปมีวิธีการดูแลและปก
ป้องแหล่งน้ำโดยควบคุมและตรวจสอบคุณภาพน้ำด้วยสิ่งมีชีวิต
ซึ่งสามารถติดตามสภาพน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีประสิทธิภาพ
มีการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ ออกมาจำนวนมาก เช่น
อาศัยความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของปลา
สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่ในน้ำ และสาหร่าย เป็นต้น
ยิ่งเมื่อประสานประสิทธิภาพของ “เครื่องมือตรวจสอบ”
ในแหล่งน้ำเหล่านี้กับเทคโนโลยีการประมวลผล
และเครื่องมือทางคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ยิ่งทำให้ได้ผลเชื่อถือได้ “เครื่องมือตรวจสอบ” ที่น่าสนใจเหล่านี้เช่น
1. ตรวจสอบคุณภาพน้ำจากการวัดปริมาณการเคลื่อนไหวของปลาเทราต์
นานมาแล้วที่มีการนำปลาเทราต์
โดยเฉพาะตัวเมียมาใช้ในการตรวจสอบมลพิษทางน้ำ
แต่เครื่องมือส่วนใหญ่ที่ใช้อยู่สร้างอยู่บนพื้นฐานการใช้โซนาร์
ซึ่งจะมีปฏิกิริยาเมื่อปลาหยุดการเคลื่อนไหว บริษัท CIFEC จึงได้สร้าง
Truitel ที่ประกอบด้วยระบบคอมพิวเตอร์และ
การประมวลสัญญาณอัลตราซาวนด์แบบดิจิตอลเพื่อใช้ในการตรวจจับปฏิกิริยาการ
เคลื่อนไหวของปลาโดยไม่ต้องรอให้ปลาตาย
เครื่องมือดังกล่าวจึงสามารถตรวจจับการปนเปื้อนของสารพิษที่มีปริมาณต่ำกว่า
มาก
คลื่นอัลตราซาวนด์จะถูกส่งออกไปเป็นช่วงๆ
ในตู้กระจกที่มีปลาเทราต์อยู่ประมาณ 10 ตัว
และมีน้ำที่ต้องการตรวจสอบไหลวนอยู่
คลื่นดังกล่าวจะสะท้อนกลับเมื่อปะทะกับสิ่งกีดขวางหรือตัวปลานั่นเอง
สัญญาณที่สะท้อนกลับจะถูกบันทึกและขยายด้วยเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
ซึ่งลักษณะของสัญญาณจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของปลา
เมื่อนำสัญญาณที่บันทึกมาเปรียบเทียบกัน
ก็จะสามารถบอกปริมาณการเคลื่อนที่ของปลาได้
ในกรณีที่ปลาไม่ได้เคลื่อนไหว
สัญญาณที่สะท้อนกลับมาจะเหมือนกัน
และเมื่อนำสัญญาณสะท้อนกลับสองอันมาเทียบกันก็จะมีความแตกต่างของปลา
จากนั้นจะมีการนำสัญญณไปวิเคราะห์โดยแบ่งเป็นแถบความถี่สี่เส้นที่สามารถ
ปรับความไวต่อการเคลื่อนไหวได้
ปริมาณการเคลื่อนไหวของปลาจะดูได้จากเส้นกราฟิกบนจอคริสตัลเหลว
อุณหภูมิของน้ำจะถูกวัดตลอดเวลาและมีเสียงสัญญาณเตือนถ้าน้ำมีอุณหภูมิสูง
หรือต่ำเกินไป
อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะไม่มีปฏิกิริยาต่อคลื่นแม่เหล็ก
ไฟฟ้าที่ออกมาจากอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ปั๊มน้ำ หลอดไฟฟ้านีออน โทรศัพท์ หรือ
เครื่องปรับความถี่
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
บทที่ 1เทคโนโรยีสาระสนเทศ
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556
บทที่ 2 ความหมายของเทคโนโรยีสาระสนเทศ
ยวข้อง ตัวอย่างเช่น การประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์กายภาพทางวิศวกรรมและทางเคมีได้เครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์ สามารถผลิตหนังสือตำราต่างๆ ได้ และจากการประยุกต์หลักพฤติกรรมศาสตร์ทางจิตวิทยา จิตวิทยาการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้และหลักความแตกต่างระหว่างบุคคล ทำให้ได้เนื้อหาในลักษณะเป็นโปรแกรมขั้น ย่อย ๆ จากง่ายไปหายาก เมื่อรวมกันระหว่างวิทยาศาสตร์กายภาพและพฤติกรรมศาสตร์ในตัวอย่างนี้ ทำให้เกิดผลิตผลทางเทคโนโลยีการศึกษาขึ้น คือ "ตำราเรียนแบบโปรแกรม"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)